06-20-2022, 02:17 PM
ทีมดังพรีเมียร์ลีก แถลงว่าประธานสโมสรคู่บุญของ โรมัน อบราโมวิช จะอำลาตำแหน่ง ก่อนเปลี่ยนถ่ายอำนาจสู่ยุคเจ้าของทีมคนใหม่
วันที่ 20 มิถุนายน 2565 เชลซี ทีมอันดับ 3 พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แถลงอย่างเป็นทางการว่า บรูซ บัค จะอำลาตำแหน่งประธานสโมสรในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ หลังจากอยู่กับ "สิงโตน้ำเงินคราม" มาตั้งแต่ปี 2003 ในยุคที่ โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซียเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร แต่ล่าสุดจำเป็นต้องขายทีม หลังถูกรัฐบาลอังกฤษคว่ำบาตรอันเนื่องมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยถูกโยงว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ผู้ประกาศโจมตีและเปิดฉากทำสงคราม
การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งประธานสโมสรครั้งนี้ ถือเป็นการเปลี่ยนถ่ายอำนาจภายในของ เชลซี โดยสมบูรณ์ หลังจาก ท็อดด์ โบห์ลี มหาเศรษฐีชาวอเมริกันเข้ามาเป็นเจ้าของทีมคนใหม่ต่อจาก "เสี่ยหมี" อย่างไรก็ตาม บรูซ บัค ยังมีตำแหน่งกับ "สิงโตน้ำเงินคราม" ในฐานะที่ปรึกษาอาวุโส
ทั้งนี้ บรูซ บัค มีบทบาทสำคัญในการสร้าง เชลซี ให้กลายเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ระดับหัวแถวของอังกฤษ โดยพาทีมชายและทีมหญิงคว้าถ้วยแชมป์ได้รวมกันถึง 30 ใบ (ทีมชาย 18 ใบ มากที่สุดในอังกฤษ นับตั้งแต่ปี 2003 และทีมหญิง 12 ใบ) ซึ่งแชมป์รายการสำคัญของทีมชาย นำโดย พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 5 สมัย, ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2 สมัย และ ยูโรปาลีก 2 สมัย
บรูซ บัค ยังช่วยให้ เชลซี มีรายได้เชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นอย่างมาก, อยู่เบื้องหลังการสร้าง "ค็อบแฮม" ศูนย์ฝึกซ้อมของสโมสรที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกระดับโลก และพัฒนาทีมอะคาเดมีให้เป็นหนึ่งในทีมเยาวชนที่ดีที่สุดของประเทศ ตลอดจนช่วยก่อตั้งมูลนิธิเชลซีขึ้นมาเมื่อปี 2010 ซึ่งสนับสนุนการริเริ่มสิ่งใหม่ๆ หลายด้าน เช่น การส่งเสริมให้เข้าถึงการแข่งขันกรีฑาเยาวชนมากขึ้น, การเป็นเจ้าภาพโครงการด้านการศึกษาและการจ้างงาน, แคมเปญต่อต้านความไม่เท่าเทียมในสังคม
ด้าน บรูซ บัค ได้กล่าวอำลาตำแหน่งในครั้งนี้ว่า "ผมภูมิใจที่ได้ช่วยให้ เชลซี ประสบความสำเร็จในสนาม และก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชน ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะก้าวลงจากตำแหน่ง และเปิดทางให้เจ้าของสโมสรคนใหม่ได้สานงานต่อบนรากฐานอันแข็งแกร่งที่เรามี ซึ่งเจ้าของทีมมีวิสัยทัศน์ที่น่าสนใจสำหรับอนาคตของ เชลซี และผมตั้งตารอที่จะช่วยให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายในบทบาทใหม่นี้ควบคู่ไปกับทีมงาน, นักเตะ, โค้ช และแฟนบอลที่น่าทึ่งของเรา"