09-19-2022, 06:56 AM
ผมหายหน้า หายตา จากจอ “ไทยรัฐสปอร์ต” ไปร่วมเดือนกว่า
เพื่อไปปฏิบัติภารกิจครั้งสำคัญของชีวิต ในการ “ซ่อมสุขภาพ” ตัวเองให้คืนกลับมาดังเดิม
กับการผ่าตัดใหญ่ “บายพาสหัวใจ” ทีเดียว 4 เส้นรวด
ผ่าตัดไม่ยากเย็นอย่างที่คิดครับ แต่โจทย์ที่หินกว่า คือการฟื้นตัวจากบาดแผลผ่ายาวเหยียดทั้งที่หน้าอกและข้างขาขวา ซึ่งต้องใช้เวลาพักหลายสัปดาห์กว่าจะค่อยยังชั่ว
ความจริงผมกะจะคัมแบ็กกลับมาเขียนคอลัมน์อีกครั้งในต้นเดือนหน้า
แต่ทนเสียงเร้าจาก ปี่ กลอง ที่เชิดขึ้นมาเพื่อโหมโรง “ศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 48”
ที่กำลังจะสัญจรไปเผดียงแข้งกันที่จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วง “ฟีฟ่าเดย์” วันที่ 22 และ 25 ก.ย.นี้ ไม่ไหว
ก็เลยขออนุญาตคัมแบ็กคืนสมรภูมิ (ข่าว) มาเร็วกว่ากำหนดหน่อย ตามคำเรียกร้องของน้องๆ ทีมงานไทยรัฐออนไลน์
ลูกหนังคิงส์คัพของเรา ต้องหยุดจัดไปร่วม 3 ปีแล้ว จากพิษของเจ้าโควิด-19 ที่อาละวาด ระราน จนเสียหายกันไปทั่วทั้งโลก ทุกวงการ
โดย “คิงส์คัพ 2019” ที่บุรีรัมย์ คือหนสุดท้ายที่ถูกจัดขึ้น ซึ่งไม่มีอะไรน่าจดจำมากนัก
เพราะผลงานของทีมชาติไทย ย่ำแย่ ไม่เอาอ่าว แพ้ทั้ง เวียดนาม และอินเดีย จบอันดับ “บ๊วยถ่วย” ของรายการอย่างน่าเศร้า!
ส่วนทีมล่าสุดที่ได้ชูโทรฟีคิงส์คัพ อันเป็นตำนานก็คือ ประเทศชื่อแปลก อย่าง “กือราเซา” จากโซนคอนคาเคฟ
พูดถึงฟุตบอลคิงส์คัพ ที่มีอายุยาวนานที่สุดในเอเชีย จากจุดเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2511 อยู่ยั่งยืนยงจนถึงวันนี้ ก็กว่าครึ่งศตวรรษ (54 ปี) เข้าให้แล้ว
อดีตที่ผ่านมาลูกหนังคิงส์คัพ คือสัญลักษณ์อันคลาสสิกของ “สนามศุภชลาศัย” มายาวนาน
ก่อนวันเวลาผ่านพ้นไป สังเวียน “ราชมังคลากีฬาสถาน” จึงได้เข้ามาแทนที่
หลายปีที่ผ่านมา ถ้วยคิงส์คัพ มีโอกาสสัญจรออกไปเตะต่างจังหวัดให้แฟนบอลภูธรได้สัมผัสกันมาแล้วหลายครั้ง
ไม่ว่าจะเป็น สนามกีฬาสุระกุล จ.ภูเก็ต, สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.นครราชสีมา, สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี และล่าสุด ที่สนามช้าง อารีน่า จ.บุรีรัมย์
และครั้งนี้จะเป็นอีกคำรบ ที่คิงส์คัพออกไปสัญจรต่างจังหวัด
โดยสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เสี่ยงพวงมาลัยเลือกเอาสนาม 700 ปีเชียงใหม่ เป็นสังเวียนฟาดแข้งอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 2
หลังจากเคยขึ้นเหนือไประเบิดแข้งที่นี่มาแล้วเมื่อ 9 ปีก่อน ในฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 42 เมื่อปี 2556
ซึ่งครั้งนั้น ไทยเราเชิญ 2 ยอดทีมจาก สแกนดิเนเวีย คือ สวีเดน กับ ฟินแลนด์ มาร่วมโม่เกือก พร้อมด้วย เกาหลีเหนือ
ทีมช้างศึก ประเดิมแมตช์แรกด้วยการปราชัย ฟินแลนด์ 1-3 ได้ประตูคืนลูกเดียวจาก ศุภชัย คมศิลป์
ก่อนไปชิงที่ 3 กับ โสมเหนือ ที่ดวลจุดโทษพ่าย สวีเดน มา 4-1 หลังเสมอกันในเวลาปกติ 1-1
ไทย บดแข้งกับ นักเตะจากเปียงยาง อย่างสะเด่าทรวง!!
ก่อนจบเกมด้วยการเสมอกันไปอย่างสุดมัน 2-2 จากการสังหารจุดโทษของ “ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย และ ดัสกร ทองเหลา กัปตันทีม ได้ครองอันดับ 3 ร่วมกันไปในที่สุด
ขณะที่ถ้วยแชมป์คิงส์คัพเชียงใหม่ ตกเป็นของ สวีเดน ที่ถล่มชนะ ฟินแลนด์ หายห่วง 3-0 ในเกมชิงชนะเลิศ
ส่วนนักเตะทีมชาติไทยชุดนั้น ที่ยังหลงเหลืออยู่จนถึงชุดคิงส์คัพครั้งนี้ มีทั้งหมด 3 คนคือ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, “โก๋อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน และ “กัปตันเจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์
จะเป็นความบังเอิญหรือเปล่าไม่รู้ กุนซือช้างศึกที่คุมทัพไปลุยเชียงใหม่เมื่อปี 56 คือ “วินนี่” วินฟรีด เชเฟอร์
และผู้ช่วยโค้ชหนุ่มข้างกาย ไม่ใช่ใครที่ไหน?
เขาชื่อ “มาโน โพลกิง” ที่ก้าวขึ้นมาเป็นนายใหญ่ทีมชาติไทยในปัจจุบัน...อย่างเต็มภาคภูมิ นั่นเอง!!
เหลือเชื่อฟุตบอลคิงส์คัพ หนที่ 2 ในชีวิตของโค้ชมาโน ก็กำลังจะขึ้นไปเหนือไปเตะที่เชียงใหม่อีกครั้ง
แต่หวังว่าผลลัพธ์ที่ออกมา...คงไม่เหมือนเมื่อ 9 ปีที่แล้ว
เพราะดูชื่อชั้นของคู่ต่อสู้แต่ละชาติที่ FA ไทยแลนด์ เชิญมาแล้ว ทั้ง มาเลเซีย, ตรินิแดดและโตเบโก รวมถึง ทาจิกิสถาน
ศึกคิงส์คัพ เชียงใหม่ (รีเทิร์น) ในคราวนี้
ถ้าผลเป็นอื่น...นอกจาก “แชมป์”
ต้องถือว่า...ล้มเหลว!!!